ประวัติและความเป็นมา
ศาลหลักเมืองสุรินทร์
เป็นสถานที่สำคัญ และเป็นที่นับถือคู่บ้านคู่เมืองของชาวสุรินทร์
อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศตะวันตกประมาณ 500 เมตร
เดิมเป็นเพียงศาลไม่มีเสาหลักเมือง มีมานานกว่าร้อยปี เมื่อปี พ.ศ. 2511 กรมศิลปากรได้ออกแบบสร้างศาลหลักเมืองใหม่
เสาหลักเมืองเป็นไม้ชัยพฤกษ์มาจากนายประสิทธิ์ มณีกาญจน์ อำเภอ ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเสาไม้สูง 3 เมตร วัดโดยรอบเสาได้ 1 เมตร ทำพิธียกเสาหลักเมืองและสมโภช เมื่อวันที่ 15 มีนาคม
2517
ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้น เมื่อชาวบ้านพบถนนคอนกรีตที่ใช้เป็นสัญจรไปมา ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณศาล มีรอยแยกของถนนอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาถนนเริ่มยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ รถยนต์วิ่งผ่านไม่สะดวก
หรือบางคันที่วิ่งผ่านต้องมีเหตุให้เครื่องยนต์ดับ จนต้องหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางบริเวณจุดตรงนี้ จากความผิดสังเกตของรอยแตกและยกตัวของถนนคอนกรีต
จนสามารถมองเห็นช่องเป็นโพรงใหญ่อย่างชัดเจน
ชาวบ้านบางคนลองเอามือล้วงเข้าไปในโพรงดังกล่าว บอกว่ารู้สึกถึงไอความร้อน ณ บริเวณนั้น
จนอดที่จะแปลกใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ เมื่อแรกขุดเจอพระพุทธรูปนาคปรก ต่อมาก็ได้พบกับวัตถุโบราณในบริเวณใกล้เคียง
มีทั้งเครื่องลางรูปพญานาคที่ทำด้วยทองเหลือง
เครื่องลางเป็นรูปพระนารายณ์นั่งคู่กับพระนางลักษมี
ซึ่งมีพระพิฆเณศอยู่ตรงกลางด้านหน้าทำด้วยทองเหลือง
รวมทั้งพระเครื่องดินเผาและกำไลโบราณทั้งหมดจำนวนมาก อายุราว 200 ปี เมื่อได้ขุดลึกลงไปอีกจึงได้พบกับเครื่องปั้นภาชนะดินเผา
เชื่อว่าน่าจะมีการสร้างสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีอายุราว 1,500 - 2,000 ปี
สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
ชาวบ้านได้นำมาตั้งไว้บูชา ณ ศาลหลักเมืองที่บริเวณใกล้เคียง

ต่อมา
วันที่ 21 ส.ค. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงประกอบพิธีเจิมเสาหลักเมือง ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
และพระราชทานดำรัสว่า “การสร้างเสาหลักเมืองนี้ดี
เป็นหลักแหล่งความสามัคคี ขอให้ชาวสุรินทร์จงมีความสามัคคีกัน
สร้างความเจริญก้าวหน้า และขอให้ชาวสุรินทร์จงมีความร่มเย็นเป็นสุข”
พ.ศ. 2513 นายสอง (สองเมือง)
ศรีสุรินทร์
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ทรุดโทรมมาก จึงได้รับเป็นผู้จัดหาเงิน
โดยได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา โดยการฝึกเด็กหนุ่มในจังหวัดสุรินทร์
เล่นสิงห์โต ออกเล่นคาราวะชาวบ้านในจังหวัด และอำเภอต่างๆ ในจังหวัดสุรินทร์
เพื่อขอรับบริจาคจนเพียงพอกับการก่อสร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง